ผักเหลือกิน 5 ชนิด นำกลับมาปลูกใหม่ได้

ปกติแล้วเราก็มักจะซื้อผักมาประกอบอาหาร ส่วนที่ไม่ได้ใช้ก็จะถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย คงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถปลูกผักไว้เก็บกินเองได้ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินออกไปซื้อข้างนอก ซึ่งผักบางชนิดก็สามารถนำมาปลูกใหม่ได้ วันนี้เราจึงนำผัก 5 ชนิด ที่นำกลับมาปลูกเก็บกินใหม่ได้ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

1. ผักชี

ผักชีบ้านเรา เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงนิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อเพิ่มความหอมให้กับอาหารดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีต้นผักชีที่ปลูกไว้ที่บ้าน และสามารถเก็บมาทำอาหารได้เลย

วิธีนำไปปลูกใหม่ : สำหรับผักชี เราสามารถนำมาปลูกใหม่ได้ โดยการนำส่วนโคนไปถึงรากผักชีไปแช่ในน้ำ จากนั้นก็นำไปตั้งที่มีแสงแดด รอเวลาไม่กี่วัน ก็จะเริ่มเห็นรากงอก แล้วค่อยนำไปปลูกลงดินต่อได้เลย เมื่อลงดินแล้วจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน จะเริ่มเห็นต้นอ่อนงอกขึ้นใหม่

2. แครอท

แครอทเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงเห็นคนนำมาประกอบอาหารต่างๆหลากหลายเมนู ทั้งของคาวของหวาน รวมถึงเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกด้วย อย่าน้ำแครอทปั่น หรือน้ำแครอทสกัด

วิธีนำไปปลูกใหม่ : ให้ตัดส่วนด้านบนหรือส่วนหัวของแครอท แล้วนำไปวางใส่ถาดไว้ จากนั้นก็เติมน้ำลงไปในถาดเล็กน้อย ใช้เวลาไม่กี่วันจะเริ่มเห็นใบอ่อนแครอทงอกออกมา และเมื่อโตพอสมควรแล้ว ก็ให้นำไปปลูกลงดินต่อไป ซึ่งใบของแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู

3. ผักคื่นฉ่าย

ลักษณะของผักคื่นช่ายจะคล้ายกับผักชี แต่จะมีใบที่ใหญ่กว่าและมีกลิ่นฉุน นิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหารเพื่อช่วยในการดับกลิ่นคาวต่าง ๆ หรือนำมาใช้เพิ่มความหอมให้น้ำซุป

วิธีนำไปปลูกใหม่ : ให้นำคื่นช่ายที่เพิ่งซื้อมา ตัดท่อนปลายของลำต้นที่ไม่ได้ใช้งาน แล้วนำส่วนที่ไม่ใช้นี้ไปใส่ในแก้ว เติมน้ำลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็นำไปวางในที่มีแดดส่องถึง และหมั่นเติมน้ำตลอด ใช้เวลา 7 วัน จะเริ่มสังเกตเห็นใบอ่อนงอกขึ้นมาใหม่ แล้วก็นำไปปลูกลงดินต่อได้เลย เมื่อโตเต็มที่ก็สามารถเก็บมาประกอบอาหารได้

4. หอมแดง

หอมแดงเป็นพืชสมุนไพรที่บ้านเราจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมักจะมีติดบ้านไว้เกือบทุกบ้าน ที่สำคัญยังมีคุณค่าทางอาหารสูง และช่วยในการบำรุงสุขภาพชั้นดี

วิธีนำไปปลูกใหม่ : สำหรับวิธีปลูกหอมแดงไว้กินเองที่บ้านก็ง่ายมากๆ เพียงหาขวดน้ำพลาสติกเหลือใช้สัก 4-5 ขวด แล้วนำมาตัดครึ่งขวดออก จากนั้นก็เติมน้ำใส่ลงไป แล้วนำส่วนปากขวดที่ตัดออกมาหงายขึ้นวางไว้บนส่วนฐานขวด (ตามรูป) เราก็จะได้พื้นที่ในการปลูกหอมแดงแล้ว จากนั้นก็นำหอมแดงมาวางลงไปในขวดที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน จะเริ่มสังเกตเห็นรากงอกออกมา ก็ให้นำลงดินได้ ใช้เวลาอีก 10-12 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว

5. ผักชีฝรั่ง

เป็นผักพื้นบ้านอีกหนึ่งชนิด ที่มีคุณค่าทางโภชนาการมกามาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เบตาแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก เป็นต้น

วิธีนำไปปลูกใหม่ : เมื่อเราซื้อผักชีฝรั่งมาจากตลาด ก็ให้นำมาตัดโคนพร้อมรากให้มีความยาว 2-3 นิ้ว จากนั้นให้นำไปแช่ในน้ำไว้แค่พอท่วมราก ทิ้งไว 3 วัน จะเริ่มเห็นรากงอกอกมาใหม่ ก็ให้นำไปปลูกลงดิน แล้วใช้เวลาอีก 60-65 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวไปประกอบอาหารต่อไปได้เลย ถ้าเราสามารถปลูกผักไว้กินเองที่บ้านได้แบบนี้แล้ว ก็ช่วยให้เราสะดวก และประหยัดเวลาในการออกไปซื้อของจ่ายตลาด และประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะเลยล่ะ แถมยังมั่นใจว่าผักจะสด สะอาด ปลอดภัยไร้ สารเคมี

ที่มา bitcoretech / www.fourfarm.com

การเก็บมะเขือเทศ ให้ได้คุณภาพ

ในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง นั้นก็คือช่วงเวลาของการเก็บผลผลิตมะเขือเทศในแปลงปลูก ของเรานั้นเอง มะเขือเทศที่เราเฝ้าดูแลมานานหลายเดือนตั้งแต่เพาะเมล็ด ผลิดอกแรก จนถึงเก็บเกี่ยว เพื่อให้ ได้มะเขือเทศช่อสวย สีแดงสด ผลเต่งตึง รสชาติหวานอร่อย ถ้าใครได้ลองแล้วรับรองติดใจ ต้องกลับมาขอซื้อ ซ้ํากันเลยทีเดียว

การเก็บมะเขือเทศ ให้ได้คุณภาพ

ในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง นั้นก็คือช่วงเวลาของการเก็บผลผลิตมะเขือเทศในแปลงปลูกของเรานั้นเอง มะเขือเทศที่เราเฝ้าดูแลมานานหลายเดือนตั้งแต่เพาะเมล็ด ผลิดอกแรก จนถึงเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้มะเขือเทศช่อสวย สีแดงสด ผลเต่งตึง รสชาติหวานอร่อย ถ้าใครได้ลองแล้วรับรองติดใจ ต้องกลับมาขอซื้อซ้ำกันเลยทีเดียว

การเก็บเกี่ยวมะเขือเทศขึ้นอยู่กับพันธุ์ โดยเฉลี่ยแล้วเมื่อปลูกได้ประมาณ 30-45 วัน มะเขือเทศจะเริ่มออกดอก และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 70-90 วัน ซึ่งเราเก็บผลผลิตได้ต่อเนื่อง 2-3 เดือนระยะเวลารวมตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือน อีกทั้งอายุในการเก็บเกี่ยวนั้นก็จะขึ้นอยู่กับการปลูกและการดูแลรักษามะเขือเทศของเราด้วย

วิธีการเก็บมะเขือเทศ

1. เก็บผลผลิตมะเขือเทศที่มีผลขนาดใหญ่ ผลมีขนาดสม่ำเสมอ ผิวเรียบ ผลไม่แตก สีผลเมื่อสุกเต็มที่แดงสม่ำเสมอ และมีขั้วผลติด หากส่งขายหรือตามตลาดสด จะต้องเก็บในช่วงที่ผลผลิตไม่แก่จนเกินไป อาจจะเก็บในช่วงที่ผลผลิตกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือเริ่มเป็นสีชมพูเรื่อ เมื่อผลผลิตถึงตลาดสดและถึงมือผู้บริโภค ผลผลิตก็จะสุกเต็มที่โดยมีสีแดงสดพอดี

2. สุ่มวัดความเปรี้ยวและความหวานของผลมะเขือเทศ โดยใช้กระดาษลิตมัส สำหรับการตรวจสอบค่าความเป็นกรดหรือด่าง (เบส) มะเขือเทศในแปลงปลูก ได้ค่า total acidity เท่ากับ 5 และใช้เครื่องวัด Brix Refractometer แบบดิจิตอล วัดความหวานจากมะเขือเทศ วัดค่าได้ 11 %Brix แสดงว่ามะเขือเทศในแปลงที่เราปลูกมีกรดมากและน้ำตาลมาก มะเขือเทศจะมีรสจัด

ในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง นั้นก็คือช่วงเวลาของการเก็บผลผลิตมะเขือเทศในแปลงปลูก ของเรานั้นเอง มะเขือเทศที่เราเฝ้าดูแลมานานหลายเดือนตั้งแต่เพาะเมล็ด ผลิดอกแรก จนถึงเก็บเกี่ยว เพื่อให้ ได้มะเขือเทศช่อสวย สีแดงสด ผลเต่งตึง รสชาติหวานอร่อย ถ้าใครได้ลองแล้วรับรองติดใจ ต้องกลับมาขอซื้อ ซ้ํากันเลยทีเดียว

การเก็บมะเขือเทศ ให้ได้คุณภาพ

ในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง นั้นก็คือช่วงเวลาของการเก็บผลผลิตมะเขือเทศในแปลงปลูกของเรานั้นเอง มะเขือเทศที่เราเฝ้าดูแลมานานหลายเดือนตั้งแต่เพาะเมล็ด ผลิดอกแรก จนถึงเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้มะเขือเทศช่อสวย สีแดงสด ผลเต่งตึง รสชาติหวานอร่อย ถ้าใครได้ลองแล้วรับรองติดใจ ต้องกลับมาขอซื้อซ้ำกันเลยทีเดียว

การเก็บเกี่ยวมะเขือเทศขึ้นอยู่กับพันธุ์ โดยเฉลี่ยแล้วเมื่อปลูกได้ประมาณ 30-45 วัน มะเขือเทศจะเริ่มออกดอก และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 70-90 วัน ซึ่งเราเก็บผลผลิตได้ต่อเนื่อง 2-3 เดือนระยะเวลารวมตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือน อีกทั้งอายุในการเก็บเกี่ยวนั้นก็จะขึ้นอยู่กับการปลูกและการดูแลรักษามะเขือเทศของเราด้วย

ขอขอบคุณข้อมูล : www.fourfarm.com

เทคนิคการปลูกขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน Curcuma longa เป็นพืชล้มลุก อายุหลายปี ในวงศ์Zingiberaceae (วงศ์ขิง) มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ต้นสูง 30 – 95 เซนติเมตร

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

1. สภาพภูมิอากาศ
1.1 อุณหภูมิ: ร้อนชื้น อุณหภูมิประมาณ 25-35 °C ต้องการอุณหภูมิ
ที่ต่างกันในแต่ละช่วงพัฒนาการของพืช
1.2 ความชื้นสัมพัทธ์: เฉลี่ย 60-80%
1.3 แสง: กลางแจ้ง หรือแสงรำไร ต้องการแสงเพื่อพัฒนาเหง้า

2. สภาพพื้นที่
2.1 ความสูง: ปลูกได้ดีที่ความสูง 450-900 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล

3. สภาพดิน
3.1 ประเภทดิน – ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี
หลีกเลี่ยงดินเหนียว หรือดินลูกรัง ไม่เหมาะกับการพัฒนาเหง้าขมิ้น
3.2 ความลึกของหน้าดิน – ลึก 30 ซม. มีความร่วนซุย
3.3 ความเป็นกรดด่างของดิน(pH)- 5-7 ดินเป็นด่างไม่เหมาะกับขมิ้นชัน
ดินเป็นกรด เอื้อให้เกิดโรคเน่าของเหง้าและรากจากเชื้อแบคทีเรีย
3.4 การนำไฟฟ้าของดิน – ค่าการนำไฟฟ้าของดิน(EC) เท่ากับ 2 dS/m
3.5 ปริมาณอินทรียวัตถุ – มีความเข้มข้นของอินทรียวัตถุมากกว่า 2%

4. ธาตุอาหาร– ต้องการธาตุอาหารฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม

5. สภาพน้ำ – ปริมาณน้ำฝน 1,000-2000 มม.ต่อปี มีการกระจายฝน
สม่ำเสมอในช่วง 100-120 วัน ควรปลูกขมิ้นชันต้นฤดูฝน

แนวทางในการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์

สายพันธุ์

ขมิ้นชันพันธุ์ ตรัง 1 ให้สารน้ำมันหอมระเหยสูง ขมิ้นชันพันธุ์
ตรัง 84-2 ให้ปริมาณเคอร์คูมินอยด์สูง

ผลผลิตเฉลี่ย

ผลผลิตสดเฉลี่ย 2,500-3,300 กิโลกรัมต่อไร่ โดยมีอัตราการทำแห้ง (ผลผลิตสด : ผลผลิตแห้ง) = 6 : 1

การเตรียมดิน

* ขุดหรือไถพรวนให้ดินร่วนใช้ไถผาน 3 ถ้ามีวัชพืชมากไถพรวน 2 ครั้ง
* ไถยกร่องโดยใช้ผาน 7
* ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์

การเตรียมพันธุ์

* ใช้ขมิ้นหัวแม่ น้ำหนัก 15 – 50 กรัม มีตา 2-3 ตา ใช้ 1 หัวต่อหลุม
* แง่งเล็ก น้ำหนัก 10 กรัม 2 – 3 ตา ใช้ 2-3 แง่งต่อหลุม (การใช้แง่งเล็กจะให้ผลผลิตต่ำกว่า)
* แช่น้ำ 1 คืน ก่อนปลูก

เตรียมแปลงปลูก

* ทำแปลงยกร่อง 30 x 70 ซม. สำหรับการปลูกโดยปลูกแบบขุดหลุม
* ทำแปลงแบบแถกดิน 35 x 50 ซม. วางหัวพันธุ์เรียงปลูก

การปลูก

* ขุดหลุมปลูกลึก 10-15 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 200-300 กรัม
* วางหัวพันธุ์ในหลุมปลูก กลบดินหนา 5-10 ซม. ระยะปลูก 30 x 30 ซม.

การให้ปุ๋ย

* หลังปลูก 3 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยคอก โดยโรยกระจายให้ทั่วแปลงเพียงครั้งเดียว

การให้น้ำ

* ให้น้ำอย่างพอเพียงและสม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มปลูกจนพืชตั้งตัวได้
* ให้น้ำน้อยลงในระยะหัวเริ่มแก่
* งดให้น้ำในระยะเก็บเกี่ยว

การกำจัดวัชพืช

ด้วยการถอน หรือใช้จอบดายหญ้า พร้อมกลบโคนต้น
กำจัดวัชพืช 3 ครั้ง เมื่อขมิ้นเริ่มงอก และหลังปลูก 3 เดือน 6 เดือน

ศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

โรคเหี่ยว
* ป้องกันโดยใช้หัวพันธุ์ที่ปลอดโรค
* ปลูกพืชหมุนเวียน เช่น พืชตระกูลถั่ว เพื่อลดเชื้อที่อาจสะสมในดิน
* ขุดต้นที่เป็นโรคเผาทำลาย

เพลี้ยแป้ง
* ฉีดพ่นด้วยสารสะเดา หรือสบู่อ่อน

การเก็บเกี่ยว

* เก็บในช่วงฤดูแล้ง เมื่อขมิ้นชันมีอายุ 9-11 เดือนขึ้นไป
* ไม่ควรให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว เพราะจะทำให้ดินแฉะ

การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว

* ล้างน้ำขัดผิวให้สะอาด ตัดแต่งเอารากและส่วนที่เสียของหัวทิ้ง ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
* หั่นขมิ้นชันหนา 1-2 มม. เกลี่ยให้บางวางบนถาด ตากแดด 3 วัน และอบที่อุณหภูมิ 60 °C นาน 3 ชม.
* ขมื้นชันแห้งบรรจุในภาชนะที่สะอาด แห้ง ปิดให้สนิท เก็บไว้บนชั้นวาง ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก นำออกใสผึ่งในที่ร่มทุก 3-4

ขอขอบคุณข้อมูล : https://www.fourfarm.com

4 ขั้นตอน วิธีปลูกผักสลัดลงดิน สีสันน่ากิน ปลูกง่าย

วิธีปลูกผักสลัดลงดิน ปลูกเองง่ายมากใน 4 ขั้นตอน

ใช้เวลาเพียง 2 – 3 วันเพื่อให้เมล็ดงอก รออีก 45 วันก็ได้ผักสลัดที่ชอบมากินได้แล้ว ทั้งสีสันน่ากินและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

1.นำดิน ปุ๋ยคอก และขุยมะพร้าวในอัตราส่วนเท่าๆ กันคลุกเคล้าให้ทั่วรดน้ำพอชุ่ม

2.ใส่ดินลงในถาดเพาะเมล็ด

3.หยอดเมล็ดลงในหลุม แล้วใช้นิ้วค่อยๆ เกลี่ยดินกลบเมล็ด แล้วค่อยๆ รดน้ำ วางไว้ในที่ร่ม

4.ประมาณ 2-3 วันเมล็ดผักจะงอกออกมาให้เห็น เมื่อครบ 7-10 วันให้นำไปวางที่มีแดด เพราะผักสลัดชอบแดดตลอดวัน

5.ย้ายต้นกล้าลงในกระถางหรือแปลงปลูก รออีก 45 วันก็ได้ผักสลัดที่ชอบมากินได้แล้ว

ประโยชน์ของผักสลัด

กรีนโอ๊ก

ผักสลัดใบหยัก สีเขียวอ่อน เนื้อค่อนข้างนุ่ม ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด บำรุงสายตา บำรุงเส้นผม บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ

เรดโอ๊ก

มีกากใยอาหารมาก ย่อยง่าย บำรุงสายตาและกล้ามเนื้อ ป้องกันโรคปากนกกระจอก ล้างผนังลำไส้ กำจัดไขมัน มีธาตุเหล็ก และวิตามิน D สูง วิธีย้ายต้นกล้าผักสลัดลงกระถาง

หากต้องการย้ายต้นกล้าลงกระถางหรือแปลงปลูกให้ใช้ช้อนพลาสติกเล็กๆ ตักกล้ากรีนโอ๊กหรือเรดโอ๊กขึ้นมาจากถาดเพาะเมล็ด ใส่ลงไปในหลุมที่เตรียมไว้โดยให้ดินเสมอกับโคนต้น (ใบ) กลบดินเบาๆ แล้วใช้ฟางคลุมลำต้น เพื่อป้องกันหน้าดินแห้ง รดน้ำอย่างเบามือ ขั้นตอนนี้ควรทำในตอนเย็นเป็นการให้ผักได้พักฟื้นด้วยนะ

ขอขอบคุณข้อมูล : www.fourfarm.com

เคล็ดไม่ลับ!!!วิธีตอน”มะนาว”ด้วย”กะปิ” ได้กิ่งพันธุ์ดี

การปลูกมะนาวสายพันธุ์ที่ดี นอกจากได้ผลผลิตสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดแล้ว ยังสามารถขยายพันธุ์เพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับผู้ปลูกมะนาวได้อีกทางด้วย ซึ่งวิธีขยายพันธุ์มะนาวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันก็คือการตอน เป็นวิธีที่ง่าย ต้นหนึ่งขยายพันธุ์ได้หลายกิ่ง ใช้เวลาในการพักฟื้นต้นพันธุ์ไม่มาก และที่สำคัญทำให้ได้ต้นพันธุ์ที่แข็งแรง พร้อมนำไปลงปลูกได้ทันที

วิธีการเริ่มจากการเตรียมตุ้มตอน นำขุยมะพร้าวแช่น้ำไว้ 2-3 วัน จากนั้นนำขึ้นมาใส่ตะกร้าทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ให้พอหมาด ใช้เมธารัสซิลผสมน้ำในอัตราส่วน 1 ช้อนชาต่อน้ำ 20 ลิตร ราดบนขุยมะพร้าวเพื่อป้องกันเชื้อรา เสร็จแล้วนำมาใส่ถุงมัดไว้รอเพื่อนำไปตอน ซึ่งตุ้มตอนไม่ควรให้มีขนาดใหญ่ เพราะทำให้กิ่งมะนาวรับน้ำหนักมากเกินไปและอาจจะหักได้

ตอน “มะนาว” ด้วย “กะปิ” ได้กิ่งพันธุ์ดี เป็นที่ต้องการ | สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

ขั้นตอนต่อมาคือการเลือกกิ่งตอน ควรเป็นกิ่งอ่อนเพราะรากจะเจริญได้เร็ว และนำไปปลูกต่อก็จะเจริญเติบโตได้ดี เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่ตอน ซึ่งห่างจากยอดกิ่งประมาณ 30 เซนติเมตร สังเกตใต้ตาใบที่กิ่งจะเห็นเป็นตุ้มซึ่งเป็นแหล่งสะสมอาหาร ให้ควั่นบริเวณใต้ตุ้มดังกล่าว 2 รอยห่างประมาณ 1 เซนติเมตร มีดต้องคมแผลตอนจะได้ไม่ช้ำ พร้อมลอกเปลือกออก ใช้มือลูบเมือกที่แผลออกให้หมด จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 4-5 วัน ผู้ตอนอาจลืมว่ากิ่งไหนควั่นแล้ว อาจผูกเชือกทำเป็นสัญลักษณ์เอาไว้กันลืม

ที่สวนคุณวโรชาจะไม่ใช้วิธีการขูดเนื้อเยื่อบริเวณแผลตอน เพราะทำให้แผลช้ำทั้งยังทำให้เกิดการระบาดของเชื้อโรคในสวนขึ้นได้ เนื่องจากเราไม่รู้ว่ากิ่งไหนเป็นโรคอยู่ ซึ่งการตอนอาจนำเชื้อโรคจากต้นหนึ่งไปสู่ต้นอื่นๆ ที่สวนจึงใช้วิธีการควั่นทิ้งไว้เพื่อให้แสงแดดทำลายเนื้อเยื่อและท่อลำเลียงอาหารแทนการขูด และการควั่นทิ้งไว้ยังเหมือนเป็นการแกล้งให้กิ่งมะนาวหิว ให้กิ่งหาอาหารเองซึ่งก็สร้างปมเหลืองๆ ขึ้นมาบริเวณแผลตอน เมื่อผูกตุ้มตอนก็ทำให้รากเดินได้เร็วขึ้น

หลังจากควั่นทิ้งไว้ 4-5 วัน ก็นำตุ้มตอนมาห่อ โดยผ่ากลางตุ้ม ใช้ปลายมีดเขี่ยกะปิขนาดเท่าหัวไม้ขีดมาใส่ไว้กลางตุ้ม แล้วนำไปมัดไว้ที่แผลตอน มัดด้วยตอกให้แน่น กะปิก็จะกระจายไปทั่วทั้งตุ้ม ซึ่งกะปิก็คือไคโตซาน มีคุณสมบัติเร่งการงอกของรากอีกทั้งยังเป็นอาหารสำรองให้กับกิ่งพันธุ์ด้วย ทำให้กิ่งพันธุ์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อีกเคล็บลับหนึ่งสำหรับการตอนให้ได้กิ่งพันธุ์ที่มีคุณภาพก็คือ หากเป็นหน้าร้อนควรหงายให้จุกตุ้มตอนอยู่ด้านบน แต่หากเป็นหน้าฝนให้จุกตุ้มตอนทิ่มลงด้านล่าง ซึ่งทำให้ความชื้นในตุ้มตอนเหมาะสมไม่แห้งหรือแฉะจนเกินไป

หลังจากตอนประมาณ 18-25 วัน ก็เริ่มเห็นรากเดินในตุ้มตอน แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวก็ใช้เวลานานขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ให้ตัดออกมา เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานเกินไปอาจมีปัญหาเชื้อราได้ นำปูนแดงทาไว้ที่แผลกิ่งบนต้นเพื่อป้องกันเชื้อโรค ส่วนกิ่งที่ตัดออกมา นำมาชำไว้ในถุงเพื่อให้รากเจริญเติบโตมากขึ้น โดยแกะพลาสติกที่ตุ้มตอนออก คลึงเบาๆ เพื่อให้ขุยมะพร้าวที่รัดแน่นขยายออก และเหมือนเป็นการนวดเพื่อให้รากในขุยมะพร้าวแผ่ออกด้วย จากนั้นนำวัสดุชำใส่ถุงดำขนาด 5×6 นิ้ว ประมาณครึ่งถุง นำกิ่งพันธุ์ลงถุงแล้วใส่วัสดุปลูกให้พอดีกับคอตุ้มตอน รดน้ำที่ผสมเมธารัสซิล (1 ช้อนชาต่อน้ำ 20 ลิตร) ประมาณ 1 แก้ว นำไปพักไว้ที่ที่มีแสงแดดรำไร ประมาณ 2 สัปดาห์ก็สามารถนำไปลงปลูกในดินได้ แต่ไม่ควรปล่อยกิ่งพันธุ์ไว้ในถุงชำนานเกินไป เพราะทำให้รากขดงอ เมื่อนำไปลงปลูกทำให้เจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร

ผู้ที่ปลูกมะนาวควรศึกษาเทคนิควิธีการปลูกและการดูแลมะนาวจากหลายๆ แห่ง ที่ประสบความสำเร็จ แล้วนำมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะการเกษตรไม่มีอะไรตายตัว สามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาได้เสมอ

ขอขอบคุณ : www.fourfarm.com

เคล็ดไม่ลับ วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง

สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคมจะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุดเท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง

การเริ่มต้นจัดผังปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์

รายละเอียดของการเริ่มต้นการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะต้องวัดพื้นที่กว้างxยาวก่อนเพื่อจะหาพื้นที่หลังจากนั้นเว้นทางเดินประมาณ2 เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่แล้วเว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร สภาพพื้นที่ปลูกจะต้องปรับให้เรียบเหมือนกับลานตากข้าว วัดระยะการวางวงบ่อ การวางวงบ่อซีเมนต์พยายามวางให้เป็นเลขคู่เพื่อง่ายต่อการวางระบบน้ำและคำนวณแรงดันน้ำ แท็งก์จะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะก่อให้สูง ประมาณ 5 วงบ่อ หรือมีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตรจะใช้แท็งก์นี้เพื่อผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วเปิดน้ำดีเข้าไปผสมปล่อยไปให้ต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง ส่วนแท็งก์อีกชุดหนึ่งจะก่อให้สูงประมาณ 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เพื่อกักเก็บน้ำสะอาดแล้วช่วยในเรื่องของแรงดัน

การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์

ขนาดของวงบ่อซีเมนต์แนะนำให้เกษตรกรใช้จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง80เซนติเมตรแต่เดิมฝาวงบ่อคุณพิชัยใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง80เซนติเมตรเท่ากับขนาดของวงบ่อ เมื่อปลูกไปนาน 2-3 ปี พบว่า รากของต้นมะนาวจะโผล่ออกมานอกวงและชอนลงไปในดิน ทำให้ควบคุมในเรื่องของการบังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากมากขึ้น ปัจจุบัน จึงได้แนะนำเกษตรกรและแก้ไขให้ซื้อฝาวงบ่อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของวงบ่อ ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างกว่า 10 เซนติเมตรดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ยังได้ยกตัวอย่างปริมาณของดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน

การใส่วัสดุปลูกลงบ่อซีเมนต์มีเทคนิค

ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ส่วนใหญ่จะใส่วัสดุปลูกในวงบ่อซีเมนต์เพียงเสมอวงบ่อเท่านั้นเมื่อรดน้ำไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียววัสดุปลูกจะยุบตัวลงมาประมาณ1คืบมือถ้าเกษตรกรเติมวัสดุปลูกลงไปจะไปกลบลำต้นมะนาวปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าจะตามมาดังนั้น ในการใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้พูนเป็นภูเขาเลย และที่จะต้องเน้นเป็นพิเศษขณะที่ใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อนั้นคือ จะต้องขึ้นเหยียบวัสดุปลูกขอบๆ วงบ่อ บริเวณตรงกลางไม่ต้องเหยียบ การใส่วัสดุปลูกให้เป็นภูเขาจะช่วยในเรื่องดินยุบลงมาเสมอวงบ่อได้นานถึง 1 ปี

วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง

หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้วให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว(โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาวควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ1เดือนเท่านั้นไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือน หรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและแนะนำให้ใช้ตอกมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก ตอกจะผุเปื่อยหลังจากปลูกไปนานประมาณ 2 เดือน ต้นมะนาวตั้งตัวได้แล้ว แต่ที่หลายคนได้ใช้ปอฟางหรือพลาสติคทาบกิ่งมัดกับหลักจะอยู่ได้นานก็จริง แต่ปัญหาที่จะตามมาจะทำให้ลำต้นมะนาวคอด มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้น หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน

ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี

ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีปลูกไปแล้วนับไปอีก8เดือนเกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคมในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดิน ผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้

วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไร

ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาวใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง หรือเลือกใช้หลักการ “ฝนทิ้งช่วง” ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้

ผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ 2 รุ่น ต่อปี

ในช่วงเริ่มแรกของการบังคับมะนาวฤดูแล้งจะทำให้ต้นมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือช่วงเดือนตุลาคมและไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้นทำให้จะต้องคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือนสิงหาคม-กันยายนแต่ช่วงเวลา3-4ปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดมะนาวผลผลิตจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายนจึงปล่อยให้มะนาวให้ผลผลิต2 รุ่น คือมีผลผลิตขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง (บังคับให้ต้นออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และมีผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนอีกรุ่นหนึ่ง (บังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม) พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปีราคามะนาวจะถูกลง จะตัดแต่งกิ่งมะนาวในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด

ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี

ตัดแต่งกิ่งมะนาวตาฮิติในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี โดยจะเริ่มตัดแต่งกิ่งและปลิดผลทิ้งทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ในช่วงปีที่ 1-2 จะตัดแต่งบ้างแต่ไม่มากนัก จะมาตัดแต่งหนักเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งในช่วงนั้นมักจะพบว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม มีกิ่งแห้งเป็นจำนวนมาก การตัดแต่งกิ่งมีผลทำให้ต้นมะนาวแตกกิ่งออกมาใหม่และได้ผลผลิตมะนาวที่มีคุณภาพ หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จในเดือนพฤษภาคม ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นช่วงบำรุงต้นและสะสมอาหารเพื่อจะกระตุ้นการออกดอกรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม

เทคนิคการเปิดตาดอก

เมื่อใบมะนาวเหี่ยวและเริ่มร่วงหรือเหลือใบยอดเพียง 1 คืบ จะเปิดตาดอกโดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 15-30-15 หรือ 12-24-12 อัตรา 1 กำมือ ใส่ให้กับต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ รดน้ำจนเห็นว่าปุ๋ยละลายจนหมด (ช่วงการให้ปุ๋ยนี้ไม่แนะนำให้เปิดน้ำด้วยหัวสปริงเกลอร์ ควรจะให้น้ำด้วยสายยางจะดีกว่า) และยังได้แนะนำก่อนว่า ก่อนที่จะให้ปุ๋ยควรเปิดน้ำให้กับต้นมะนาวจนดินชุ่มเสียก่อน จะรดน้ำด้วยสายยาง 2-3 ครั้ง ทุกๆ 3-5 วันสำหรับการฉีดพ่นฮอร์โมนหรือธาตุอาหารทางใบควรฉีดพ่นอย่างเต็มที่ ฉีดพ่นด้วยฮอร์โมน โปรดั๊กทีฟ อัตรา 20 ซีซี ผสมกับสารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี และปุ๋ยทางใบ สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ (20 ลิตร) ฉีดพ่นต่อเนื่องทุก 5-7 วัน หลังจากนั้นต้นมะนาวจะเริ่มออกดอกและติดผลไปแก่ในช่วงฤดูแล้ง

การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ ทำมะนาวนอกฤดู: การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ ทำมะนาวนอกฤดู

ขอขอบคุณข้อมูล : www.fourfarm.com

“องุ่นทะเล” ไม้ใหญ่สารพัดประโยชน์ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

องุ่นทะเล (sea grape)

ชื่ออื่น : ครุฑทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Coccoloba uvifera

วงศ์ : Polygonaceae

องุ่นทะเล  มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอเมริกากลาง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง อายุหลายปี สูงไม่เกิน 10 เมตร ทรงพุ่มกลม ไม่ผลัดใบ ลำต้นสีน้ำตาลอมเทา มีรอยด่างและเป็นปุ่มปมทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปกลม กว้างประมาณ 24 เซนติเมตร ยาว 16-18 เซนติเมตร ปลายมน โคนเว้าหรือมน ขอบเรียบ ใบหนาและแข็ง เป็นมัน แผ่นใบด้านบนสีเขียว ใต้ใบสีซีดกว่า เส้นกลางใบและเส้นใบเห็นเด่นชัด สีขาวนวลถึงสีเขียวอ่อน ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด ออกตามปลายกิ่ง ยาว 20-30 เซนติเมตร ห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอก 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 6 เกสร ออกดอกตลอดปี ผลสด มีเนื้อ รูปทรงกลม ขนาดประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร เป็นช่อแบบองุ่น ผลสีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาลอ่อนอมส้ม

องุ่นทะเล' ไม้ใหญ่มาแรง สรรพคุณทางยา ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด | เดลินิวส์

การปลูกเลี้ยงและการใช้ประโยชน์

การปลูกเลี้ยง : ดินทั่วไป ต้องการน้ำปริมาณน้อย แสงแดดมาก

การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง

การใช้ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ

ต้นองุ่นทะเล หรืออีกชื่อ ครุฑทะเล  มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เป็นไม้ยืนต้น เมื่อปลูกต้นเดียว ทรงพุ่มค่อนข้างกลม มีการเจริญเติบโตเร็ว มีความสูงโดยประมาณตั้งแต่ 3-10 ม. และ ใบไม่ค่อยร่วง ผลออกเป็นพวง สามารถรับประทานได้ และผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวสดใสเป็นสีม่วงเข้มเมื่อสุก มีรสชาติหวานปนเปรี้ยว ถ้าสุกจัดจะหวานมาก เป็นที่ชื่นชอบของนก และกระรอก ส่วนดอกมีขนาดเล็ก มี 5 แฉก กลีบดอกมีสีขาว และ มีกลิ่นหอม ช่วง ออกดอก ช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม จะติดผลเริ่มตั้งเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน และจะเริ่มสุกและนำไปรับประทานได้

เปลือกของต้นองุ่นทะเล เป็นประโยชน์สำหรับโรคคอ และแก้อาการเจ็บคอ ใบมีคุณสมบัติเป็นยา ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และรักษาโรคนิ่วในไต ผล ช่วยในการลดปริมาณกลูโคสทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย ช่วยในการลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยในการถ่วงดุลความดันโลหิต

ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่งจะ เหมาะสมที่สุด ใช้เวลาออกรากน้อยกว่า การเพาะเมล็ด ต้นองุ่นทะเล สามารถปลูกในดินได้หลายรูปแบบ ทนต่อความแห้งแล้ง สามารถเติบโตตามสภาพภูมิอากาศที่ร้อนได้ตามธรรมชาติ และ ทนต่อดินเค็ม สามารถอยู่รอดได้ในทุกสภาพภูมิอากาศ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ปลูกเพื่อเป็นแนวป้องกันลมพัดแรงตามแนวชายฝั่งทะเล ช่วยป้องกันการกัดเซาะของหน้าดินได้ด้วย

ทั้งโตเร็วให้ร่มเงา ทนแล้ง ทนเค็ม มีรากยึดเกาะหน้าดิน ใบเป็นยา ผลกินได้ ขยายพันธ์ุง่าย อาจมีแมลงกินใบบ้าง ถือว่า เป็นต้นไม้ใหญ่ที่น่าปลูกไว้ในบ้านเลยทีเดียวครับ

ขอขอบคุณข้อมูล : www.fourfarm.com

ไอเดียเกษตรกรยุคใหม่ “เพิ่มเงินให้ผลิตผลพื้นที่สูง”

เดิมทีไม่ได้อยากจะปลูกผักกินเองเพราะซื้อที่ตลาดง่ายกว่าเยอะ แต่ระยะหลังเห็นข่าวในโลกออนไลน์บ่อยๆว่า “สารเคมีเกษตรทำให้คนป่วยเป็นมะเร็งและเสียชีวิต” เลยต้องกลับมาคิดใหม่ และสุดท้ายก็จบตรงที่ปลูกผักกินเองบ้าง โดยเน้นชนิดที่ตัวเองใช้ทำอาหารบ่อย เช่น โหระพา มะนาว พริก ส่วนผักอื่นก็หาจากตลาดโดยเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าประจำกับร้านที่มีตรารับประกันความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น เกษตรจีเอพี หรือเกษตรอินทรีย์ เพิ่มความเชื่อมั่นในการกินอาหารตามกระแส รักชีวิต รักษ์โลก

ช่วงนี้จึงสนใจศึกษาการเกษตรแบบประกันความปลอดภัยจากสารพิษ หลายคนฟังแล้วอาจทำหน้างง คำที่เข้าใจง่ายๆก็คือ “เกษตรปลอดภัย” นั่นเอง ไอเดียที่อยากแนะนำให้เพื่อนเกษตรกร (หัวใจสีเขียว) นำไปปฏิบัติ ได้แก่

1. สร้างจุดขายดี อร่อยด้วยการปลูกผักในรูปแบบตลาดนิยมตามแนวทางของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งเน้นไปทางอาหารเพื่อสุขภาพทั้งผัก ผลไม้ และธัญพืช ผลพลอยได้จากงานวิจัยทำให้เกษตรกรบนดอยสูงบ้านเรามีพืชเศรษฐกิจทางเลือกหลายชนิด พร้อมชุดองค์ความรู้เพื่อยกระดับคุณภาพและเพิ่มปริมาณผลผลิต ลดการใช้พื้นที่ปลูกเหลือแค่ 1 ไร่ ก็ได้เงินเท่ากับ 10 ไร่ เมื่อเทียบกับอดีต เรื่องจริง บ่ได้โม้นะเจ้า

           2. สร้างชีวิตใหม่ให้ดิน ปลูกอะไรก็ได้ผล เริ่มจากการปรับโครงสร้างดินให้โปร่ง ร่วนซุย เนื้อดินมีช่องว่างเพื่อเก็บอากาศ เก็บธาตุอาหาร และอุ้มน้ำ ส่งผลให้ต้นพืชเติบโตเร็ว แตกรากดี มีอากาศหายใจ มีน้ำเพียงพอ ในขณะเดียวกันช่องว่างระหว่างเม็ดดินยังเป็นแหล่งอาศัยของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ด้วย วิธีง่ายสุดและทำเองได้คือ การขึ้นแปลงและโรยปุ๋ยอินทรีย์ให้ทั่ว โดยสูตรที่ดีต้องมีส่วนผสมของมูลสัตว์ (แหล่งธาตุอาหาร) เศษพืชหรือเปลือกไข่ (แหล่งวิตามิน) และดินขุยไผ่ (แหล่งจุลินทรีย์ดี) อัตรา 2:1:1 ซึ่งอาจใส่ตัวช่วยให้ย่อยสลายเร็วขึ้น เช่น สารเร่ง พด. ไส้เดือนดินสีแดง (ขี้ตาแร่) หากมีทุนไม่มากก็ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมก่อนย้ายปลูก ซึ่งคล้ายกับว่าเป็นการทำคลังอาหารขนาดกว้างและลึกเท่ากับอาณาเขตรากพืช ย้ำว่าควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างดินที่ดีเหมาะแก่การเพาะปลูก

3. สร้างเกราะป้องกัน ด้วยวัคซีนพืชเปรียบเสมือนการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-2019 โดยหลังฉีดพ่นวัคซีนพืชจะช่วย

1) กระตุ้นให้พืชสร้างระบบภูมิคุ้มกันภายในตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ต้นทาง เช่น เพิ่มความหนาแน่นและความแข็งแรงให้กับเส้นขน ทำให้เนื้อเยื่อพืชตายทันทีเฉพาะส่วนที่เสียหาย
2) เคลือบต้นพืช เพื่อยับยั้งหรือควบคุมไม่ให้เชื้อสาเหตุโรคเจริญเติบโต และสร้างความเสียหาย
3) ส่งเสริมการเจริญเติบโต เพิ่มประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสง และการดูดซึมธาตุอาหารเข้าสู่ต้น

ตัวอย่างวัคซีนพืช เช่น ชีวภัณฑ์เกษตรป้องกันโรคพืชที่ผลิตจากแบคทีเรียบาซิลลัส สเตรปโตมัยซีส และราไตรโคเดอร์มา หรือที่เกษตรกรเรียกว่ายาเชื้อ ในทางตรงข้ามการพ่นสารเคมีส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์กำจัดศัตรูพืชมากกว่าซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายทางของสาเหตุ อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของวัคซีนพืชที่จำหน่ายตามท้องตลาดมีหลายแบบและราคาต่างกัน การเลือกซื้อจำเป็นต้องศึกษาแหล่งผลิตที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองมาตรฐาน เฉพาะเกษตรกรโครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงที่สนใจผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย สามารถติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โรงชีวภัณฑ์ มูลนิธิโครงการหลวง เบอร์โทร 053-114218 หรือ ID Line : ppcrpf นอกจากนี้ยังมีสูตรน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากไข่ไก่ 5 กิโลกรัม กากน้ำตาล 5 กิโลกรัม แป้งข้าวหมาก 1 ก้อน และยาคูลท์ 1 ขวด

             4. สร้างมูลค่าเพิ่มเศษเหลือทิ้ง ปรับความคิดเดิมที่เข้าใจว่ารายได้หลักมาจากการจำหน่ายผลผลิตรับประทานสดอย่างเดียว เพราะปัจจุบันสามารถนำทุกส่วนของต้นพืชมาเปลี่ยนเป็นเงินได้แล้วในรูปแบบ

1) เครื่องดื่มแบบผงชงสำเร็จรูป เช่น ชาจากยอด ใบ และดอก
2) อาหารแปรรูป เช่น ผักผลไม้อบแห้ง
3) ส่วนขยายพันธุ์พืช เช่น กิ่งชำไม้ผล เมล็ดผัก
4) ปัจจัยผลิตเกษตร เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมัก วัสดุปลูก วัสดุเพาะกล้า วัสดุปรับปรุงดิน บรรจุภัณฑ์จากรากพืช เปลือก ตอซัง เศษพืชเหลือทิ้ง
5) ผลิตภัณฑ์ของใช้ ของที่ระลึก ของตกแต่งเก๋ๆ เช่น ดินสอจากกิ่งไม้ ถ่านดูดสารพิษ กระถางต้นไม้ย่อยสลายง่าย เฟอร์นิเจอร์เศษไม้ กระดาษเส้นใย กระเป๋า ของเล่น

ใครถนัดแนวไหนก็เริ่มเลย ส่วนวิธีทำสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ในช่องทางสื่อออนไลน์ และเว็บไซต์ทั่วไป

          5. สร้างชื่อบนโลกออนไลน์ ขายง่ายกว่าเดิม ไอเดียนี้ต้องรวมกลุ่มกันทำ คนเดียวอาจไปไม่รอด เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่สนใจสั่งซื้อของจากร้านค้าที่มีสินค้าให้เลือกหลายชนิด ของคุณภาพดีและส่งเร็ว สมาชิกแต่ละคนจึงต้องทำหน้าที่เป็นนักการตลาด นักบัญชี นักคิด นักพูด และพนักงานส่งของ วิธีนี้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนทำไม่ได้ ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรโครงการฯ ห้วยเป้า อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่” ผ่านช่องทางตลาดออนไลน์ของเพจ Facebook และ Line Official “น้ำ 3 สาย by ห้วยเป้า”

 6. สร้างรายได้จากหลากหลายช่องทางแต่ละกลุ่มลูกค้า แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยแบ่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ (1) ระยะสั้น เช่น ต้นอ่อนผัก 5-7 วัน กล้าต้นผัก 15-30 วัน ผักใบ 30-45 วัน (2) ระยะกลาง เช่น ผักผล กล้าต้นไม้ผล (3) ระยะยาว เช่น ไม้ยืนต้น ไม้กินหน่อ หากสามารถเปรียบเทียบราคาพืชตลอดปีด้วยจะดีมาก สำหรับเอาไปใช้วางแผนการปลูกให้ส่งผลิตผลได้ตรงเวลา และได้ราคารับซื้อผลิตผลที่สูง สิ่งสำคัญอีกประการคือ ต้องควบคุมต้นทุนการผลิต รวมทั้งหาแหล่งจำหน่ายหลักและแหล่งสำรองเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจเกษตร ภายใต้สถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ขอขอบคุณข้อมูล : www.fourfarm.com

เทคนิค การเพาะเห็ดเข็มทอง…ทำง่าย สร้างรายได้ ได้ดีมาก

เห็ดเข็มทอง ถือเป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะเป็นส่วนผสมของอาหารได้หลากหลาย รสชาติเป็นที่ถูกปากรับประทานง่าย เกษตรกรหลายคนจึงหันมาเพาะเห็ดเข็มทองกันมากขึ้น โดยการเพาะนั้นก็ไม่ได้ยากกว่าที่หลายๆคนคิด อุปกรณ์ก็มีไม่มาก เราไปดูวิธีเพาะกันเลยค่ะ

เตรียมวัสดุเพาะ

1.ขี้เลื่อย 10-20 เปอร์เซนต์ (ขี้เลื่อยทำการรดน้ำแล้วกองไว้จนมีน้ำสีใสไหลซึมออกมา)

2. แกลบ 5-10 เปอร์เซนต์

3.เชื้อเห็ด

4.ขวดหรือโหลพลาสติกทนความร้อน

วิธีการเพาะ

1.เริ่มต้นจาการคลุกเคล้า ขี้เลื่อย แกลบ ให้เข้ากันดี จากนั้นนำใส่ลงในขวดโหลทนความร้อน

2.จากนั้นนำโหลไปอบเชื้อ โดยนึ่งในหม้อนึ่งที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 ช.ม.

3.เมื่อนึ่งเสร็จแล้ว ให้รอจนโหลและขี้เลื่อยผสมเย็นตัวลง แล้วค่อยนำเชื้อเห็ดเข็มทองมาใส่ลงไป โหลละประมาณ 15 เมล็ด

4.นำโหลเพาะเห็ดไปบ่มเชื้อโดย นำไปตั้งไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิ 8-12 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญต่อเชื้อเห็ด

5.เมื่อบ่มครบ 25-30 วัน จะพบว่าเชื้อเห็ดจะเจริญเต็มขวดแล้ว ให้เปิดฝาขวดออกแล้วใช้ช้อนขูดเอาส่วนที่เป็นขี้เลื่อยออก

6.จากนั้นนำขวดโหลเพาะเห็ดไปตั้งไว้ห้องที่มีอุณภูมิ 10-15 องศาเซลเซียส เมื่อระยะเวลาผ่านไป 5-10 วัน จะเริ่มมีตุ่มดอกเห็ดเล็กๆให้เห็น แล้วจะเริ่มยืดลำต้นขึ้นจนพ้นปากขวดโหลออกมา 3-5 เซนติเมตร ก็สามารถตัดเห็ดไปรับประทานหรือจำหน่ายได้แล้วค่ะ

ขอบคุณที่มา Mthai / www.fourfarm.com

10 วิธีดูแลสวนหน้าฝน

ช่วงนี้เข้าสู่ช่วงหน้าฝน มีฝนมากในหลายๆพื้นที่ ทำให้บ้านหลายหลังที่มีสวนอยู่ภายในบ้าน เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น ต้นไม้ที่ปลูกในบ้านตาย กิ่งไม้หักทับบ้าน ทำให้เกิดความเสียหาย เกิดเชื้อรา และปัญหาอื่นๆอีกมากมายที่มากับฤดูฝน วันนี้เราเลยหยิบยกวิธีดูแลสวนง่ายๆ ยามถึงหน้าฝนมาให้อ่านกันค่ะ

1. ดูแลท่อระบายน้ำอยู่เสมอ
หมั่นดูแลตักเศษดินเศษใบไม้ หรือเศษขยะที่อุดตันตามท่อระบายน้ำในสวนบ่อยๆ เพื่อป้องกันปัญหาท่อระบายน้ำอุดตันและปัญหาน้ำขังที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายในช่วงหน้าฝน

2. ตัดแต่งกิ่งของต้นไม้ใหญ่ให้โปร่ง
ก่อนเข้าหน้าฝนเพราะในหน้าฝนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านหนาทึบเกินไปเมื่อเจอกับลมพายุหรือฝนตกหนักจะมีโอกาสหักโค่นหรือฉีกขาดได้ง่าย

3.ควรฉีดยาป้องกันโรคพืชและเชื้อราเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
ช่วงหน้าฝนอากาศจะค่อนข้างชื้น เชื้อราและแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคพืชจะเติบโตและแพร่กระจายได้รวดเร็ว จึงควรฉีดพ่นยาป้องกันอย่างพวกเชื้อราไตรโคเดอร์มาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าหน้าฝน

4.โรยกรวดป้องกันน้ำจากชายคากระเด็นเลอะเทอะ
เมื่อน้ำฝนที่ตกลงมาจากชายคาทำให้ดินโคลนกระเด็นเปื้อนผนัง ให้แก้ปัญหาโดยการโรยกรวดบนพื้นยาวตลอดแนวที่น้ำไหล เพียงเท่านี้น้ำก็จะกระเด็นน้อยลงแล้วค่ะ

5.ดูแลเฟอร์นิเจอร์ในสวนให้พร้อมรับหน้าฝน
ถึงเวลาเก็บเฟอร์นิเจอร์สนามประเภทผ้าเข้ากรุ และเตรียมการให้พร้อมรับฤดูที่เต็มไปด้วยความชื้น โดยการทาน้ำยาป้องกันแมลง หรือน้ำยาเคลือบเงาบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ และทาน้ำยากันสนิมพร้อมกับเคลือบสีใหม่ให้เฟอร์นิเจอร์เหล็ก

6.ปรับระดับทางเดินให้เรียบและมั่นคง
แผ่นปูทางเดินในสวนที่ไม่มั่นคงเกิดขึ้นได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่ดินจะยุบตัวได้ง่าย เราจึงควรเตรียมการรื้อแผ่นปูเพื่อปรับระดับหน้าดินบริเวณทางเดินให้แน่นเสมอกันเสียก่อน เพื่อตัดเรื่องปัญหาทางเดินไม่มั่นคง

7.ดูแลแปลงต้นไม้ให้ไร้น้ำขัง
เราควรดูแลดินในแปลงให้ระบายน้ำได้ดีเสมอ ควรพรวนดินให้ร่วนซุยเป็นประจำแล้วลองเพิ่มทรายหยาบหรือขี้เถ้าแกลบ เพื่อช่วยให้หน้าดินไม่เกาะตัวกันแน่นเกินไป และระบายน้ำได้ดีขึ้น ป้องกันปัญหาน้ำขังและโรครากเน่า

8.ป้องกันลานลื่นในสวนควรใช้น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นลาน
แล้วจึงติดแถบหรือเคลือบน้ำยากันลื่นหรือปูพื้นด้วยแผ่นพื้นไม้สำเร็จรูปกันลื่นที่ถอดประกอบได้และมีน้ำหนักเบา โดยเลือกชนิดที่มีโครงรองพื้นเป็นพลาสติกก็จะสามารถระบายน้ำและความชื้นได้ดี

9.เพิ่มร่มสนามสารพัดประโยชน์ในพื้นที่สวน
ลองติดตั้งร่มสนามในพื้นที่สวน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีเฟอร์นิเจอร์ หรือต้นไม้บอบบาง ไม่ทนต่อสภาพฝนตกหนักๆ ก็จะช่วยป้องกันความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง

10.เตรียมอุปกรณ์ทำสวนให้พร้อม
ก่อนเข้าหน้าฝนควรตรวจเช็กอุปกรณ์ทำสวนให้พร้อม โดยนำออกมาทำความสะอาดและใช้น้ำมันหล่อลื่นเช็ดป้องกันสนิมอย่างสม่ำเสมอ ส่วนอุปกรณ์ที่สามารถเป็นที่ขังของน้ำได้อย่างบัวรดน้ำ หรือกระสอบปุ๋ย ก็ควรเก็บไว้ในที่ร่มและคว่ำให้เรียบร้อย

ขอขอบคุณข้อมูล : www.fourfarm.com